ประวัติวัดนายโรง
วัดนายโรง ตั้งอยู่เลขที่ ๖๙๒ ถนนบรมราชชนนี ซอย ๑๕ แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นวัดเป็นวัดราษฎร์ สังกัด มหานิกาย ก่อสร้างขึ้นเมื่อ ราวปี พ.ศ. ๒๔๐๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โดย ท่านเจ้ากรับ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงละครนอกที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีต เล่นละครจนมีฐานะร่ำรวย แล้วนำเงินมาซื้อที่สร้างวัดประจำตระกูลของตนเอง ตั้งชื่อว่า วัดนายโรง ซึ่งหมายถึงวัดที่ก่อสร้างขึ้นโดยเจ้าของโรงละคร
พื้นที่
พื้นที่ของวัดเดิมมีประมาณ ๑๓ ไร่ ๘๓ ตารางวา ได้รับการจัดแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ๑ พื้นที่เขตพุทธาวาส และสังฆาวาส จำนวน ๖ ไร่ ๑๓ ตารางวา ๒. พื้นที่เป็นที่ตั้งโรงเรียนมัธยมวัดนายโรง ๖ ไร่ ๖๕ ตารางวา ๓. พื้นที่ให้เช่าเป็นที่ปลูกบ้านเรือนของชุมชน ๒ ไร่ ๕ ตารางวา
ที่ตั้งและการเดินทาง
ที่ตั้งของวัดด้านหน้าทิศตะวันตกจดคลองบางกอกน้อย ทิศตะวันออกจรดคูนํ้ากั้นระหว่างที่ของเอกชนกับโรงเรียนวัดนายโรง ทิศเหนือจดคูนํ้ากั้นระหว่างที่ของเอกชน และทิศใต้จดคลองบางบําหรุ
การเดินทางมาที่วัดสามารถมาได้ทั้งทางบกและทางเรือ ถ้ามาทางบกหรือรถยนต์ให้เข้าตรงซอยบรมราชชนนี ๑๕ หรือ ๑๗ ผ่านหมู่บ้านพันธ์ศักดิ์ เลี้ยวซ้ายตรงมาเรื่อย ๆ จนถึงแนวกำแพงวัดบำหรุ แล้วให้เลี้ยวขวาไปตามแนวถนนจนสุดซอย
ส่วนทางเรือ สามารถขึ้นเรือหางยาวจากท่าช้างเส้นทางที่จะไปบางกรวยหรือบางใหญ่ คลองชักพระ คลองมหาสวัสดิ์ เรือจะวิ่งผ่านหน้าวัดนายโรง แล้วขึ้นที่ท่าจอดเรือวัดนายโรง
ปูชนียวัตถุและปูชนียบุคคลที่สำคัญของวัดนายโรง
วัดนายโรง เป็นวัดเก่าแก่มีอายุมากกว่า ๑๕๖ ปี มีปูชนียวัตถุที่สำคัญ ได้แก่ อุโบสถ วิหาร พระพุทธเจดีย์สารีริกธาตุ มณฑปหลวงปู่รอด และเรือนท่านเจ้ากลับ
๑. อุโบสถและวิหาร รูปทรงเป็นศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่มีความโดดเด่น ภายในอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงาม ที่วาดโดยช่างฝีมือชั้นครู พื้นที่บริเวณเหนือกรอบหน้าต่างอุโบสถ ช่างปั้น ปั้นเป็นชฎาพระ ส่วนในวิหาร ปั้นเป็นกระบังหน้า และหูกระต่ายขี้รัก เครื่องสวมหัวของเสนาผู้ไหญ่ฝ่ายไทย อันเป็นเครื่องสวมหัวของตัวละครนอกทั้ง ๓ คือ ตัวพระ (นายโรง) ตัวนาง และเสนา มุมผนังกำแพงแก้วด้านใน ปั้นเป็นตัวละครนอก ปั้นเป็นภาพฤษีดัดตน สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร ได้ขึ้นทะเบียนอุโบสถวัดนายโรง เป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๒๐ พระประธานในอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ ๔ มีชื่อว่า พระพุทธสัพพัญญู ซึ่งมีพุทธลักษณะที่งดงาม และมีลักษณะเฉพาะ สำหรับในวิหาร มีพระพุทธรูปปางสีหไสยาสน์ที่เก่าแก่ ประดิษฐานอยู่ มีชื่อว่า พระพุทธไสยาสน์
๒. พระพุทธเจดีย์สารีริกธาตุ เป็นมณฑปหรือเจดีย์สำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดได้รับมอบถวายจากประมุขสงฆ์สูงสุด อมรปุรนิกาย วัดไทยทีปฑุตมาราม กรุงลัมโลโบ ประเทศศรีลังกา ให้นำมาประดิษฐานเป็นการถาวร ณ วัดนายโรง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่นักโบราณคดี ได้ขุดพบที่กรุงกบิลพัสดุ์เก่า เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ และสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัด
๓. มณฑปหลวงปู่รอด เป็นที่ตั้งรูปเหมือนหลวงปู่รอด หีบทองทึบ และอัฐิของหลวงปู่รอด และรูปเหมือนพระครูปริยัติวิมล อดีตเจ้าอาวาส วัดนายโรง รูปที่ ๑๐
๔. เรือนท่านเจ้ากลับ เป็นตั้งรูปเหมือนท่านเจ้ากลับผู้ก่อตั้งวัดนายโรง
๑. อุโบสถและวิหาร
๒. พระพุทธเจดีย์สารีริกธาตุ
๓. มณฑปหลวงปู่รอด
๔. เรือนท่านเจ้ากลับ
หลวงปู่รอด
หลวงปู่รอดมีชาติภูมิเป็นชาวบางพรม อําเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี เดิมหลวงปู่รอดอุปสมบทที่วัดเงิน (วัดรัชฎาธิษฐาน) ในคลองบางพรม เข้าใจว่าหลวงปู่คงจะได้ศึกษาวิปัสสนาธุระจากสํานักวัดเงินนั่นเอง เพราะสมัยก่อนวัดเงินเป็นสํานักวิปัสสนาที่เลื่องลือมาก ต่อมาหลวงปู่ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดนายโรง จนกระทั่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๒ ของวัดนายโรง และเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ให้การอุปสมบทให้แก่กุลบุตร นับแต่ชั้น พ่อ ลูก หลาน ของแต่ละตระกูลในแถบย่านคลองบางกอกน้อย คลองชักพระ ตลิ่งชัน บางระมาด บางพรม บางกรวย บางใหญ่ บางคูเวียง จึงมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก
หลวงปู่รอดเป็นพระเถระที่สำคัญองค์หนึ่งในย่านคลองบางกอกน้อย ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน และมีเกียรติคุณเป็นพิเศษในทางพุทธาคมและเวทย์วิทยาคม หลวงปู่รอด เป็นองค์ปฐมนามแห่งเบี้ยแก้ ท่านได้สร้างเบี้ยแก้ขึ้น เป็นสำนักแรก ถือว่าเป็นเครื่องรางอมตะ จนมีคำกล่าวว่า หมากดี ต้องวัดหนัง เบี้ยขลัง ต้องวัดนายโรง เบี้ยแก้หลวงปู่รอด เป็นหนึ่งในเบญจภาคีที่ได้รับความที่นิยมสูงสุดในปัจจุบัน จัดเป็นเครื่องรางสารพัดดี มีพุทธานุภาพเข้มขลัง ใช้สำหรับแก้และป้องกันคุณไสย ภูตผี ปีศาจ สัตว์ที่มีพิษ เป็นเครื่องรางเมตตา และมหานิยมอีกด้วย
หลวงปู่รอด
ท่านเจ้ากรับ
ท่านเจ้ากรับผู้สร้างวัดนายโรง ท่านเป็นสามัญชนแต่ที่ถูกเรียกขานเป็นถึงเจ้านั้น อาจด้วยบทบาทการแสดงละครนอกที่โดดเด่นในฐานะที่เป็นตัวพระ และเป็นบุคคลที่ความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ทางการละครของกรุงรัตนโกสินทร์
เจ้ากรับ เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๙ ตรงกับปีขาล ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ที่ชุมชนหลังวัดระฆังโฆสิตาราม จังหวัดธนบุรี เป็นบุตรนายถิน และนางกุ เจ้ากรับ เป็นเจ้าโรงละนอกซึ้งมีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ ๓-๔ และเดิมมีชื่อเรียกว่า “กลับ” ชีวประวัติของเจ้ากลับ มีเล่าไว้ว่า เมื่อนางกุตั้งครรภ์ จวนจะครบกำหนดคลอด นางกุพร้อมด้วยลูกชายคนโตไปขายขนมทางเรือด้วยกัน ขณะพายเรือไปตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา เรือพายที่นั่งมาร่ม ลูกชายจมน้ำเสียชีวิตบริเวณหน้าวัดระฆังโฆสิตาราม นางกุเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่งวันหนึ่งนางกุ ได้พายเรือไปขายขนมตามปกติ ได้พบกับหญิงชาวมอญคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในด้านเวทย์มนต์คาถา จอดเรืออยู่ นางกุจึงได้เล่าความทุกข์จากการสูญเสียบุตรคนโตให้หญิงชาวมอญฟัง จนในที่สุดหญิงชาวมอญคนนั้น เกิดความสงสาร จึงรับอาสาทำพิธีเพื่อขอให้บุตรชายของนางกุที่เสียชีวิตไปกลับคืนชาติมาเกิดใหม่
เมื่อนางกุตั้งครรภ์และคลอดบุตรออกมาเป็นชาย จึงตั้งชื่อว่า “กลับ” หมายถึง บุคคลผู้ตกน้ำแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ เมื่อนายกลับโตขึ้น ได้ฝึกละครกับคณะละครของครูทองอยู่ ซึ่งเป็นคณะละครนอกอันลือชื่อในสมัยนั้น โดยได้เล่นเป็นตัวเอกในเรื่องอีเหนา ต่อมาได้ย้ายไปเล่นกับคณะครูบุญยัง ซึ่งเป็นละครนอกที่มีชื่อเช่นกัน เมื่อครูบุญยังเสียชีวิต ผู้แสดงละครเริ่มแยกวง ไปคนละทิศละทาง เจ้ากรับจึงพยายามรวบรวมตัวละครขึ้นมาใหม่ และตั้งเป็นคณะละครนอกของตัวเองโดยหน้าที่เป็นทั้งหัวหน้าและผู้แสดงนำหรือ นายโรง เจ้ากรับ ได้ย้ายไปตั้งบ้านเรือนที่บริเวณย่านบางบำหรุ พร้อมกับได้สรรหาผู้แสดงหน้าใหม่มาฝึกเพิ่มเติมจนเป็นคณะละครนอกโรงใหญ่ขึ้น มาโดยพยายามรักษารูปแบบและมาตรฐานการแสดงละครแบบเดิมของครูทั้งสองเอาไว้ คณะละครนอกของเจ้ากรับ แสดงได้ดี มีชื่อเสียงจนเป็นที่ยอมรับของคนในย่านบางบำหรุ และคนนอกพื้นที่อย่างเช่นท่านสุนทรภู่กวีเอกของไทย